ปี 2012 Redmart มียอดขายเดือนละ 15,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (360,000 บาท) ขณะที่ตอนนี้มียอดขายเดือนละ 250,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (6 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นมากกว่า 16 เท่าตัวในปีเดียว ปัจจัยที่ทำให้ Redmart เข้ามาทำลายกรอบตลาดเดิมได้ประกอบด้วย

- มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 8,000 รายการ (สูงมากสำหรับอีคอมเมิร์ซ Grocery)
- ส่งสินค้าทั่วสิงคโปร์วันเดียวกันกับที่สั่งซื้อภายใน 2 ชั่วโมง ก่อน 4 ทุ่ม
- ไม่คิดค้าส่งหากสั่งสินค้าเกิน 75 ดอลลาร์สิงคโปร์ (1,800 บาท)
จุดที่ผมว่าน่าสนใจคือ Redmart ไม่ได้เล่นสงครามราคา ไม่ได้เน้นขายสินค้าเอาถูกเข้าว่า แต่แก้ปัญหาที่น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะตัวในสิงคโปร์ และความรวดเร็วในการส่งสินค้า กลยุทธ์ของ Redmart ที่ใช้นอกเหนือจากจุดดึงดูดลูกค้ายังมี
- มีเครือบริษัทใหญ่ร่วมขายสินค้าโดยตรงคือ Unilever, P&G, Nestle, Coca-Cola
- เจ้าของสินค้าเป็นผู้กำหนดราคาขายเอง จึงไม่เกิด conflict กับช่องทางขายแบบเดิม โดย Redmart ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกระจายสินค้าไม่ใช่จัดจำหน่ายสินค้าเอง
- Redmart จะให้ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อลูกค้าเป็นตัวแลกเปลี่ยน
- นอกจากนี้ Redmart ยืนยันว่าจะไม่ทำเฮ้าส์แบรนด์ออกมาแข่ง

ปัจจุบัน Redmart มีการขยายคลังสินค้าออกไปที่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ออร์เดอร์เฉลี่ยต่อลูกค้าประมาณ 30 รายการ มีพนักงานทั้งหมด 75 คน โดย 50 คนดูแลส่วนคลังสินค้าและส่งสินค้า ทั้งนี้ในส่วนผลประกอบการ Redmart ยังขาดทุนอยู่ แต่คาดว่าจะเริ่มมีกำไรในสิ้นปีนี้ ที่น่าสนใจคือจำนวนผู้ใช้งาน Redmart นั้นมีราว 11,000 คน แต่ Retention Rate สูงถึง 75% และมีอัตราการซื้อ 1.5 ครั้งต่อเดือน
กลุ่มเงินทุนของ Redmart ก็น่าสนใจ เพราะประกอบด้วยผู้ก่อตั้ง Skype, ผู้ก่อตั้ง FreshDirect.com ไปจนถึงอดีตผู้บริหาร Tesco ในประเทศจีนและไทย ล่าสุดบริษัทได้เพิ่มทุนอีกกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีมูลค่ากิจการมากกว่า 5,200 ล้านดอลลาร์แล้ว
แผนการถัดไปของ Redmart ก็คือการออกต่างประเทศภายในปีหน้า โดยที่ Redmart เล็งไว้คือกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และฮ่องกงครับ
อ้างอิง: e27 และ The Next Web
No comments:
Post a Comment